การปฏิวัติอียิปต์ ค.ศ. 1952
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
การก่อรัฐประหารในประเทศอียิปต์ ปี ค.ศ. 1952 | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ผู้นำฝ่ายก่อรัฐประหาร, มุฮัมมัด นะญีบ (ซ้าย) และ ญะมาล อับดุนนาศิร (ขวา) ในรถคาดิลแลค | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
อียิปต์ สนับสุนโดย: ซาอุดีอาระเบีย สหราชอาณาจักร |
ขบวนการเจ้าหน้าที่อิสระ สนับสุนโดย: สหภาพโซเวียต สหรัฐ | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
พระเจ้าฟารูก Ahmed Naguib el-Hilaly |
มุฮัมมัด นะญีบ ญะมาล อับดุนนาศิร อันวัร อัสซาดาต Khaled Mohieddin Abdel Latif Boghdady Abdel Hakim Amer Gamal Salem Salah Salem Zakaria Mohieddin Hussein el-Shafei Hassan Ibrahim Kamal el-Din Hussein Abdel Moneim Amin |
การก่อรัฐประหารในประเทศอียิปต์ ปี ค.ศ. 1952 ยังเป็นที่รู้จักกันคือ การก่อรัฐประหาร ปี ค.ศ. 1952 หรือการปฏิวัติวันที่ 23 กรกฎาคม ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 โดยขบวนการเจ้าหน้าที่อิสระ กลุ่มของเจ้าหน้าที่กองทัพภายใต้การนำโดยมุฮัมมัด นะญีบและญะมาล อับดุนนาศิร การก่อรัฐประหารครั้งแรกนี้ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการโค่นล้มพระเจ้าฟารูก
เหตุการณ์
[แก้]อย่างไรก็ตาม,ขบวนการได้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองมากขึ้น และในไม่ช้าก็ต้องดำเนินการยกเลิกรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยและพวกขุนนางของอียิปต์และซูดาน ก่อตั้งสาธารณรัฐ ยุติการยึดครองอียิปต์ของอังกฤษ และรักษาความเป็นเอกราชของซูดาน(ก่อนหน้านี้เคยเป็นอำนาจปกครองดินแดนร่วมกันของอังกฤษ-อียิปต์) รัฐบาลของฝ่ายปฏิวัติได้ใช้ชาตินิยมอย่างเด็ดเดี่ยว วาระการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งมาเพื่อแสดงออกโดยผ่านลัทธิชาตินิยมของชาวอาหรับและการวางตัวเป็นกลางระหว่างประเทศ
การก่อรัฐประหารครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสหราชอาณาจักร ซึ่งได้ยึดครองอียิปต์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 และฝรั่งเศส ทั้งสองประเทศต่างก็ได้ระมัดระวังการลุกขึ้นของพวกที่มีความรู้สึกชาตินิยมในดินแดนภายใต้การควบคุมของพวกเขาทั่วโลกอาหรับและแอฟริกา ด้วยสถานะสงครามอย่างต่อเนืองกับอิสราเอลก็ได้มีความท้าทายอย่างมากเช่นกัน ในขณะที่เจ้าหน้าที่อิสระได้สร้างความเข้มแข็งของอียิปต์ในการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ทั้งสองประเด็นนี้ตได้มีการประชุมหารือในสีปีภายหลังจากก่อรัฐประหาร เมื่ออียิปต์ได้ถูกรุกรานโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอลในวิกฤตการณ์คลองสุเอซ ปี ค.ศ. 1956 แม้ว่าจะมีการสูญเสียทางทหารอย่างใหญ่หลวง สงครามครั้งนี้ได้ถูกมองว่าเป็นชัยชนะทางการเมืองของอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ปล่อยให้คลองสุเอซอยู่ภายใต้การควบคุมของอียิปต์โดยไม่มีใครโต้แย้งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1875 ได้ลบสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอัปยศของชาติ สิ่งนี้ได้รับความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นของการปฏิวัติในประเทศอาหรับและประเทศอื่นๆในทวีปแอฟริกา
หลังจากสิ้นสุด
[แก้]การปฏิรูปที่ดินขายส่ง และโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ริเริ่มขึ้นในทศวรรษแรกและครึ่งหนึ่งของการรัฐประหาร ซึ่งนำไปสู่ช่วงเวลาที่ไม่เคยเกิดขึ้นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการทำให้เป็นเมือง ในปี ค.ศ. 1960 ลัทธิสังคมนิยมของชาวอาหรับได้กลายเป็นประเด็นสำคัญ ได้ทำให้อียิปต์กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจตามที่ได้วางแผนเอาไว้จากส่วนกลาง ทางการได้หวาดกลัวต่อพวกที่นิยมตะวันตก การต่อต้านการปฏิวัติ ความคลั่งไคลทางศาสนาภายในประเทศ การแทรงแซงที่มีศักยภาพของคอมมิวนิสต์ และความขัดแย้งกับอิสราเอลล้วนต่างได้อ้างถึงเหตุผลที่รุนแรงและจำกัดที่ยาวนานต่อคู่แข่งทางการเมือง และการห้ามระบบหลายพรรค ข้อจำกัดต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งประธานาธิบดี อันวัร อัสซาดาต ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ในช่วงระหว่างนโยบายการปฏิวัติจำนวนมากได้ปรับขนาดลงหรือย้อนกลับ
ความสำเร็จในช่วงแรกของการก่อรัฐประหารได้สนับสนุนขบวนการชาตินิยมในประเทศอาหรับและประเทศอื่นในแอฟริกา เช่น แอลจีเรียและเคนยา ซึ่งได้มีการประท้วงต่อต้านอาณานิคมในจักรวรรดิยุโรป นอกจากนี้ยังได้เป็นแรงบันดาลใจในการโค่นล้มระบอบราชาธิปไตยและรัฐบาลในภูมิภาคและทวีป
การปฏิวัติครั้งนี้ได้ถูกนำมาเป็นวันเฉลิมฉลองที่รำลึกในแต่ละปีของวันที่ 23 กรกฎาคม